เมื่อ “อะโวคาโด” จะเป็น “พืชเศรษฐกิจทางเลือกใหม่” ของไทย เกษตรกรไทยเห็นโอกาสอะไรจาก “อะโวคาโดสายพันธุ์ใหม่” ของกว่างซีที่ได้ลูกดก ผลโต
เวลาที่โพสต์:10:21, 11-09-2025
แหล่งข่าว:thaibizchina.com

นางสาวฉิน อวี้อิ๋ง เขียน
นายกฤษณะ สุกันตพงศ์ เรียบเรียง
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC)
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง

หลายปีมานี้ หากเราพูดถึงผลไม้(กึ่งผัก)ที่มาแรงในหมู่หนุ่มสาวสายเฮลท์ตี้แล้ว ต้องมีที่นั่งของ Super Food อย่าง “อะโวคาโด” (Avocado) อยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน เพราะด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง “อะโวคาโด” ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ทองคำสีเขียว’ โดยแหล่งผลิตใหญ่ของโลกอยู่ในอเมริกากลาง อเมริกาใต้ และแอฟริกา

เนื้ออะโวคาโด 100 กรัม มีไขมันไม่อิ่มตัว 12.2 กรัม ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง มีเส้นใยอาหาร 6.7 กรัม ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว มีน้ำตาลต่ำ มีวิตามินและสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินเอ โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส

รู้หรือไม่… ชื่อของ Avocado มีที่มาจากคำว่า Aguacate ในภาษาสเปน ซึ่งแปลงมาจากภาษาพื้นเมืองชาวแอซเท็ก (Aztec) อีกทอดหนึ่ง ซึ่งหมายถึง “อัณฑะ” ซึ่งชาวพื้นเมืองมองลักษณะของผลอะโวคาโดที่ห้อยลงจากกิ่ง ซึ่งบ่อยครั้งมักห้อยลงเป็นคู่


ประเทศจีนเริ่มมีการนำเข้าพันธุ์อะโวคาโดเพื่อทดลองปลูกตั้งแต่ยุค 50’s – 60’s การที่ “อะโวคาโด” เป็นพืชเขตร้อนที่ชอบแดดจัด แต่ไม่ชอบอากาศร้อนและไม่ทนหนาว ต้องการที่ดินชื้น แต่ไม่แฉะ ทำให้พื้นที่ที่สามารถปลูกอะโวคาโดได้ในจีนมีไม่มาก ส่วนใหญ่กระจายที่มณฑลยูนนาน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง มณฑลไห่หนาน

โดย “อำเภอปกครองตนเองชนชาติไต ชนชาติลาหู่ ชนชาติหว่า เมิ่งเหลียน” (孟连傣族拉祜族佤族自治县) มณฑลยูนนาน เป็นแหล่งปลูกอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีน (สภาพอากาศคล้ายคลึงกับประเทศเม็กซิโก) ผลผลิตราวร้อยละ 80 ของทั้งประเทศ ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า ปี 2567 อำเภอฯ ได้ผลผลิตอะโวคาโดเพียง 19,500 ตัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

ปี 2566 ประเทศจีนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำเข้าอะโวคาโดรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย (แซงหน้าประเทศญี่ปุ่น) ข้อมูลปี 2567 จีนนำเข้าอะโวคาโดทั้งสดและแห้ง (พิกัด 0804.4000) รวม 48,983 ตัน คิดเป็นมูลค่านำเข้า 1,061 ล้านหยวน โดยอะโวคาโดเปรูครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 77 (ปริมาณนำเข้าจากเปรู 37,737 ตัน)

—————— สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน หรือ GACC


อุปสรรคในการปลูกอะโวคาโดในจีน คือ ขาดความหลากหลายของสายพันธุ์ ส่วนใหญ่นิยมพันธุ์แฮส (Hass) จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ทำให้ผลผลิตและคุณภาพไม่เสถียร อีกทั้ง ต้นทุนด้านเวลา (รอ 3-4 ปีถึงจะเริ่มให้ผลผลิต)

อย่างไรก็ดี ประเทศจีนได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นในจีนอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในหน่วยงานที่มุ่งดำเนินงานวิจัยดังกล่าว คือ สถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซี [*] (Guangxi Subtropical Agricultural Sciences Research Institute/广西南亚热带农业科学研究所)

กว่า 69 ปีบนเส้นทางการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์อะโวคาโดของประเทศจีนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499  วันนี้… อะโวคาโดในแดนมังกรจีนได้มาถึง ‘จุดเปลี่ยน’ ครั้งสำคัญ หลังจากที่เมื่อไม่นานมานี้ (2 ก.ค. 2568) “จื่อจิน” (Zijin/紫金) และ “เถิงหลง” (Tenglong/腾龙) อะโวคาโด 2 สายพันธุ์ใหม่ที่วิจัยโดย “สถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซี” ได้รับการขึ้นทะเบียนคุ้มครอง “พันธุ์พืชใหม่” จากสำนักป่าไม้และทุ่งหญ้าแห่งชาติจีน (National Forestry and Grassland Administration (NFGA) / 林业和草原局) เป็นอะโวคาโดสายพันธุ์แรกในประเทศจีน

แหล่งที่มา WeChat Official Account-赤色龙州

นายทาง ซิ่วฮวา (Tang Xiuhua/汤秀华) รองศาสตราจารย์วิจัย ประจำสถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซี ให้ข้อมูลว่า นักวิจัยค้นพบกล้าพันธุ์อะโวคาโดพันธุ์ “เถิงหลง” ในปี พ.ศ. 2529 และกล้าพันธุ์ “จื่อจิน” ในปี พ.ศ. 2555 และในระหว่างปี พ.ศ. 2559 – 2566 ได้ดำเนินการทดลองปลูกที่อำเภอหลงโจว (Longzhou County/龙州县) อำเภอฝูสุย (Fusui County/扶绥县) เมืองฉงจั่ว และอำเภอปินหยาง (Binyang County/宾阳县) นครหนานหนิง ภายหลังการทดลองผลิต (production trial) และพิสูจน์อย่างเข้มงวด พบว่า อะโวคาโด 2 พันธุ์ดังกล่าวให้ผลผลิตสูงถึงต้นละ 60-75 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าอะโวคาโดพันธุ์แฮสที่ปลูกในกว่างซี ซึ่งให้ผลผลิตเพียงต้นละ 15 กิโลกรัม

นอกจาก “ลูกดก” แล้ว จุดเด่นของอะโวคาโด 2 พันธุ์นี้ คือ “ให้ผลผลิตนอกฤดูกาลหลัก เติมเต็มช่วงสุญญากาศของตลาดอะโวคาโดในจีน”

กล่าวคือ ประเทศจีนนิยมนำเข้าอะโวคาโดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม – กรกฎาคม ขณะที่อะโวคาโดที่ปลูกทั่วไปในจีนจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตราว ๆ ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน ทำให้ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคมเป็น ‘ช่วงสุญญากาศ’ ของตลาดจีน

โดยพันธุ์ “จื่อจิน” จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ขณะที่พันธุ์ “เถิงหลง” เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยาวไปจนถึงเดือนกันยายน ซึ่งสามารถเติมเต็มช่องว่างในตลาดจีนได้อย่างดี

ยังไม่หมดเท่านี้!!! เมื่อเทียบกับอะโวคาโดพันธุ์แฮสที่นำเข้าจากต่างประเทศ (น้ำหนักผลราว 100 กรัม) จะเห็นได้ว่า อะโวคาโดพันธุ์ “จื่อจิน” และ “เถิงหลง” มีขนาดผลที่ใหญ่ (น้ำหนักผล 500 – 750 กรัม) และให้เนื้อมากกว่ามากแถมยังมีเมล็ดเล็กกว่า และผิวเปลือกสีสด

ช่วงปลายปี 2567 สถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซี ได้เริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนใน 3 เมือง (เมืองฉงจั่ว นครหนานหนิง และเมืองไป่เซ่อ) ทดลองปลูกอะโวคาโด 2 พันธุ์ดังกล่าว พื้นที่รวมกว่า 5,000 หมู่จีน (หรือมากกว่า 2,083 ไร่) ขณะเดียวกัน สถาบันฯ กำลังเร่งวิจัยเทคนิคการปลูกที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น แนะนำให้เกษตรกรยกระดับมาตรฐานการปลูก และคิดค้นวิธีการถนอมความสดของผลอะโวคาโดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อส่งเสริมให้อะโวคาโดท้องถิ่นของกว่างซี ‘ก้าวเฉิดฉาย’ สู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น

นายหวง หมินเจีย (Huang Minjia/黄民家) เจ้าของสวนอะโวคาโดที่อำเภอหลงโจว เมืองฉงจั่ว เริ่มเปลี่ยนไปปลูกสายพันธุ์อะโวคา “เถิงหลง” ทดแทนพันธุ์แฮสตั้งแต่ปี 2566

นายหวงฯ ให้ข้อมูลว่า การปลูกอะโวคาโดพันธุ์แฮส 1 หมู่จีน ได้ผลผลิตเกรดพรีเมี่ยมไม่ถึง 10 กิโลกรัม (หรือราวไร่ละ 24 กิโลกรัม) หลังจากที่เปลี่ยนไปปลูกอะโวคาโดพันธุ์ “เถิงหลง” ได้ผลผลิตมากถึงหมู่ละ 1,000 – 1,500 กิโลกรัม (หรือราวไร่ละ 2,400 – 3,600 กิโลกรัม) และได้รับผลตอบรับที่ดีจากตลาด โดยจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ 10 – 12 หยวน

บีไอซี ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากอะโวคาโด 2 พันธุ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในเขตฯ กว่างซีจ้วงยังมี “อะโวคาโดเอเลี่ยน” ที่เป็นไวรัลในโลกโซเชียลมาพักใหญ่ ๆ แล้ว โดย“อะโวคาโดเอเลี่ยน” เกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ เนื่องจากอะโวคาโดรุ่นหลังมีอัตราการกลายพันธุ์ค่อนข้างสูง ลักษณะของผลเหมือน “มะเขือยาว” มีความยาวมากสุด 30 เซนติเมตร น้ำหนักผล 300-500 กรัม เมล็ดเล็กเท่าไข่นกพิราบ สัดส่วนของเนื้อที่รับประทานได้มากกว่าร้อยละ 80 โดยอะโวคาโดกลายพันธุ์นี้ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป มีการทดลองปลูกในสวนอะโวคาโดบางแห่งเท่านั้น

ประเทศไทยมีการปลูกอะโวคาโด เพื่อส่งเสริมให้เป็น “พืชเศรษฐกิจทางเลือกใหม่” ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ แต่ประสบปัญหาผลผลิตคุณภาพต่ำจากพันธุ์อะโวคาโดที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับประเทศจีน ซึ่งไม่สามารถตอบสนองความต้องการในประเทศได้อย่างเพียงพอ และต้องอาศัยการนำเข้า (จากประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอย่างเวียดนาม เมียนมา สปป.ลาว) ซึ่งในอนาคต เกษตรกรผู้ปลูกอะโวคาโดในประเทศอาจจะต้องเผชิญผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาจากอะโวคาโดต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาดในไทย

การปรับตัวและเตรียมพร้อมเป็นสิ่งจำเป็น การสู้ด้วยคุณภาพของผลผลิตจะเป็นทางเลือกทางรอดของอะโวคาโดไทย ทั้งการเลือกปลูกสายพันธุ์ที่มีคุณภาพดีและเป็นที่ยอมรับ การเก็บเกี่ยวผลผลิตที่แก่จัด การศึกษาต้นทุนการผลิตเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำการตลาด ตลอดจนการหาช่องทางตลาดอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสและเพิ่มมูลค่า จึงเป็นสิ่งที่เกษตรกรไทยต้องปรับตัวและเรียนรู้

บีไอซี เห็นว่า สถาบันวิจัย/สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องในไทย สามารถแสวงหาช่องทางความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ในการพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์อะโวคาโดร่วมมือกับสถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซีได้ เพื่อยกระดับคุณภาพของผลผลิตที่มีคุณภาพดีและเป็นที่ยอมรับ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (value added) เพื่อวางรากฐานและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับอุตสาหกรรมอะโวคาโดไทย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มชาแนวใหม่ (สมูธตี้อะโวคาโด) น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น แยมอะโวคาโด ขนมขบเคี้ยว (อะโวคาโดทอดกรอบ) เครื่องสำอาง (สบู่ ครีมบำรุงผิว ยาสระผม) ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักสำหรับสายเฮลท์ตี้ และการนำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารและขนมนมเนย

ข่าวนี้รวบรวมโดย :SHUNNING HUANG