เมื่อ “เศรษฐกิจสีเขียว” เป็นแนวคิดทางเศรษฐกิจที่กำลังตีคู่สูสีกับ “เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” ในประเทศจีน เป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด ครอบคลุมถึงการบุกเบิกทรัพยากรทางทะเล การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเล การคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ
“เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง” เป็น 1 ใน 11 เขตการปกครองระดับมณฑลของจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีชายฝั่งทะเล ตั้งอยู่ใน “อ่าวเป่ยปู้” หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “อ่าวตังเกี๋ย” ดังนั้น “เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” หรือเศรษฐกิจทางทะเล จึงเป็น ‘เสาเศรษฐกิจ’ ที่มีความสำคัญต่อเขตฯ กว่างซีจ้วง
“เศรษฐกิจทางทะเลของเขตฯ กว่างซีจ้วงสามารถรักษาระดับการขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ ปี 2567 เขตฯ กว่างซีจ้วงมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทางทะเล (Gross Ocean Product : GOP) 258,090 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) มีสัดส่วนร้อยละ 9.0 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) โดยมูลค่าเพิ่มการผลิตในอุตสาหกรรมทางทะเลเกิดใหม่ (海洋新兴产业/ Marine Emerging Industries) มีระดับการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 45.0 (YoY)”
—– การแถลงข่าวของสำนักงานสารนิเทศรัฐบาลเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568
ปี 2567 มูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมทางทะเลของกว่างซี 121,360 ล้านหยวน มีส่วนขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Contribution Rate) ของกว่างซีร้อยละ 12.3
มูลค่า GOP ในอุตสาหกรรมทางทะเล แบ่งเป็นขั้นปฐมภูมิ 25,270 ล้านหยวน (สัดส่วนร้อยละ 9.8) ขั้นทุติยภูมิ 76,240 ล้านหยวน (สัดส่วนร้อยละ 29.5) และขั้นตติยภูมิ 156,580 ล้านหยวน (สัดส่วนร้อยละ 60.7)
มูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมดั้งเดิมทางทะเล 4 สาขา ได้แก่ การท่องเที่ยวทางทะเล การประมง การคมนาคมขนส่ง และวิศวกรรมและการก่อสร้างทางทะเล มีมูลค่ารวม 107,430 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 (YoY) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการประมงมีมูลค่าเพิ่ม 25,090 ล้านหยวน คิดเป็น 1/4 ของมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมดั้งเดิมทางทะเล
มูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ทางทะเล 4 สาขา ได้แก่ การผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเล (Marine Engineering Equipment) ชีวการแพทย์ทางทะเลและชีวเภสัชภัณฑ์ (Marine Biomedical and Biopharmaceutical) พลังงานจากมหาสมุทร (Marine Energy) และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลและการใช้ประโยชน์เชิงบูรณาการ (Seawater Desalination and Comprehensive Utilization) มีมูลค่ารวม 4,090 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.0 (YoY)
ในบริบทที่รัฐบาลกลางได้กำหนดให้อ่าวเป่ยปู้ที่กว่างซีเป็น 1 ใน 5 ฐานการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งของประเทศ (อีก 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่คาบสมุทรซานตง พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี พื้นที่ตอนใต้ของมณฑลฝูเจี้ยน และพื้นที่ตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง) ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเล และห่วงโซ่อุตสาหกรรมไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในกว่างซี
บริษัทชั้นนำในวงการการผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเลจากภาคตะวันออกทยอยเข้ามาลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตในเมืองชายฝั่งของกว่างซี ไม่ว่าจะเป็นการต่อเรือและเทคโนโลยีบนเรือ กังหันลม อุปกรณ์เครื่องจักรในท่าเรือ และอุปกรณ์นอกชายฝั่ง
ปี 2567 อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเลของกว่างซีมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว มูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมดังกล่าวขยายตัวสูงถึงร้อยละ 228.6 (YoY) อาทิ การเริ่มงานก่อสร้าง ‘กระชังยักษ์’ สำหรับการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์น้ำในทะเลน้ำลึก “Beibu Gulf No.1” (北部湾一号) ในเมืองเป๋ยไห่ ซึ่งเป็นกระชังยักษ์แห่งแรกในอ่าวเป่ยปู้ที่กว่างซี และเป็นก้าวสำคัญของกว่างซีในการดำเนินยุทธศาสตร์ “คลังอาหารสีน้ำเงิน” (Blue Granary) โดยกระชังดังกล่าวจะติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีความล้ำสมัย อาทิ เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำอัตโนมัติ ระบบบำบัดน้ำไมโครฟิลเตอร์ เครื่องนับจำนวนลูกปลาอัตโนมัติ) โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายสัญญาณ 5G และข้อมูลขนาดใหญ่
อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในกว่างซี พบว่า ปี 2567 เมืองชายฝั่งทะเลรอบอ่าวเป่ยปู้ 3 เมืองของกว่างซี (ชินโจว ฝางเฉิงก่าง เป๋ยไห่) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม 7,779 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.7 (YoY) อาทิ โครงการต้นแบบของการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานลมนอกชายฝั่งและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องแห่งแรกของกว่างซี —– โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง(เมือง)ฝางเฉิงก่าง ซึ่งลงทุนโดยบริษัท Guangxi Investment Group Co.,Ltd. (广西投资集团有限公司) ด้วยมูลค่าเงินลงทุนราว 24,500 ล้านหยวน เริ่มการผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแล้ว สามารถตอบสนองการใช้งานไฟฟ้าได้เกือบ 5 ล้านหลังคาเรือน ลดการใช้ถ่านหินได้ราว 1.5 ล้านตัน
อุตสาหกรรมการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลและการใช้ประโยชน์เชิงบูรณาการของกว่างซีมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน อาทิ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หงซาฝางเฉิงก่าง (防城港红沙核电站/Fangchenggang Hongsha Nuclear Plant) ได้เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการแล้ว (โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้น้ำจืดที่ผลิตจากน้ำทะเลในกระบวนการผลิต) มีปริมาณการใช้ประโยชน์จากน้ำทะเลเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 (YoY)
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 รัฐบาลกลางได้เห็นชอบอนุมัติการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ในเขตฯ กว่างซีจ้วง —— “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ป๋ายหลง” (Guangxi Bailong Nuclear Plant/广西白龙核电站) ในเมืองฝางเฉิงก่างด้วยเงินลงทุนราว 120,000 ล้านหยวน แบ่งการก่อสร้างแบ่งเป็น 2 เฟส มีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมด 6 หน่วย มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง (Installed capacity) 8.62 ล้านกิโลวัตต์ เมื่อเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์จะมีความต้องการใช้น้ำจืดจากน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้นอีก
อุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล และการขนส่งแม่น้ำเชื่อมทะเล ปี 2567 ปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้าของท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้ที่กว่างซี (ประกอบด้วยท่าเรือชินโจว ท่าเรือเป๋ยไห่ และท่าเรือฝางเฉิงก่าง) มีการขยายตัวสูงสุดในบรรดา 11 มณฑลที่มีท่าเรือทะเล และเป็นการขยายตัวด้วยตัวเลขสองหลักเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน
เส้นทางเดินเรือทางทะเลของท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้มีทั้งหมด 80 เส้นทาง (ในประเทศ 31 เส้นทาง และต่างประเทศ 49 เส้นทาง รวมถึงท่าเรือชินโจว – ท่าเรือแหลมฉบัง) และเส้นทางเดินเรือทางแม่น้ำมีทั้งหมด 15 เส้นทาง (ในประเทศ 10 เส้นทาง และต่างประเทศ 5 เส้นทาง รวมถึงท่าเทียบเรือชื่อสุ่ย เมืองอู๋โจว – ท่าเรือกรุงเทพ)
นอกจากนี้ ยังมีอภิโปรเจกต์ ‘ทางลัด’ เชื่อมทะเล —— คลองขนส่งผิงลู่ (平陆运河/Pinglu Canal) เชื่อมนครหนานหนิงกับเมืองท่าชินโจว ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 โครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนสะสม 47,000 ล้านหยวน โดยคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในปี 2569
รัฐบาลกว่างซีได้กำหนดแนวทางส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจมุ่งสู่ทะเล (Seaward Economy) โดยมุ่งปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมทางทะเลให้มีคุณภาพสูงและมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางทะเล 9 สาขา ได้แก่ การประมงทะเลน้ำลึก การท่องเที่ยวทางทะเล การขนส่งทางทะเล การต่อเรือและอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเล ชีวการแพทย์ทางทะเลและชีวเภสัชภัณฑ์ พลังงานจากมหาสมุทร การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลและการใช้ประโยชน์เชิงบูรณาการ การบริการทางทะเล และอุตสาหกรรมทะเลแห่งอนาคต (บีไอซี จะนำรายละเอียดมาเล่าในโอกาสต่อไป) นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมด้านการสำรวจวิจัยและการศึกษาทางทะเล การบ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษ (Talent) และการส่งเสริมความร่วมมือทางทะเลร่วมกับอาเซียนในมิติต่าง ๆ
ในบริบทที่ประเทศไทยมีความยาวชายฝั่งทะเล 3,148 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัดเป็นฝั่งอ่าวไทย 2,055 กิโลเมตร และฝั่งอันดามัน 1,093 กิโลเมตร (ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)
กล่าวได้ว่า “เศรษฐกิจทางทะเล” มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมากตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยแต่ละปี อุตสาหกรรมทางทะเลช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการจับสัตว์น้ำและประมง การท่องเที่ยวทางทะเล และพลังงานจากทะเล (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติทางทะเล)
ในมิติของการเพิ่มศักยภาพและมูลค่าทางเศรษฐกิจของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลสู่ความยั่งยืนของประเทศไทย บีไอซี เห็นว่า นอกจากการยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิมทางทะเลแล้ว การพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีเทคโนโลยีเข้มข้นเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความท้าทายภายใต้สถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) และความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ตลอดจนการแข่งขันทางเทคโนโลยี (Tech War) โดยเขตฯ กว่างซีจ้วง เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยในการพัฒนาความร่วมมือด้าน “เศรษฐกิจทางทะเล” ในหมวดธุรกิจต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นภาคการศึกษา ภาคการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการบริการทางทะเล
ข่าวนี้รวบรวมโดย :SHUNNING HUANG