ผลไม้ไทยเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย โดยมีจีนเป็นประเทศผู้นำเข้าผลไม้ไทยรายใหญ่ ซึ่งเส้นทางการขนส่งผลไม้ไทยไปจีนเป็นปัจจัยสำคัญ ในการนำสินค้าไปถึงมือผู้บริโภค เนื่องจากไทยกับจีนไม่มีพรมแดนเชื่อมต่อกันโดยตรง ดังนั้น ในระยะแรกของการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนต้องใช้เส้นทางขนส่งดั้งเดิมอย่างการขนส่งทางทะเลจากท่าเรือแหลมฉบัง ไปยังท่าเรือกว่างโจวและท่าเรือเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงและสามารถกระจายผลไม้ไทยไปสู่มณฑลอื่น ๆ ได้
นอกจากนี้ ก็ยังมีเลือกใช้เส้นทางการขนส่งทางอากาศซึ่งมีความรวดเร็วแต่ก็มีต้นทุนการขนส่งค่อนข้างสูง
แม้ว่าไทยกับจีนจะไม่มีพรมแดนทางบกเชื่อมต่อกันโดยตรง แต่ก็มีที่ตั้งตั้งอยู่ใกล้กัน โดยมีประเทศที่สามคั่นกลาง ได้แก่ เวียดนาม ลาว และเมียนมา ดังนั้น เส้นทางการขนส่งทางบกจากไทยไปจีนผ่านประเทศที่สามจึงเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพ เนื่องจากมีความรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการขนส่ง ทางทะเล และมีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการขนส่งทางอากาศ
จึงเป็นที่มาของ “พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทย-จีน” ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน ได้แก่ เส้นทาง R9 (ผ่าน สปป. ลาว-เวียดนาม เข้าจีนที่เขตฯ กว่างซี) ลงนามเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2552 และเส้นทาง R3A (ผ่าน สปป.ลาว เข้าจีนที่มณฑลยูนนาน) ลงนามเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2554 ครอบคลุมผลไม้จากไทย 22 ชนิด ได้แก่ มะขาม น้อยหน่า มะละกอ มะเฟือง ฝรั่ง เงาะ ชมพู่ ขนุน ลองกอง สับปะรด ละมุด กล้วย เสาวรส มะพร้าว ลำไย ทุเรียน มะม่วง ลิ้นจี่ มังคุด และผลไม้ประเภทส้ม (ได้แก่ ส้มเปลือกล่อน ส้ม และส้มโอ)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเส้นทาง R9 และ R3A ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเกิดปัญหาการจราจรติดขัด บริเวณหน้าด่านนำเข้าของจีน ส่งผลให้รถขนส่งสินค้าติดอยู่ที่ชายแดนจีนเป็นเวลานาน ทำให้ผลไม้เกิดความเสียหาย ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยจึงได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับจีน โดยได้มีการลงนามพิธีสารฯ ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ส่งผลให้มีด่านนำเข้า-ส่งออกผลไม้รวม 16 ด่าน ได้แก่ ด่านไทย 6 ด่าน (เชียงของ มุกดาหาร นครพนม บ้านผักกาด บึงกาฬ หนองคาย) และด่านจีน 10 ด่าน (โหย่วอี้กว่าน ตงซิง ด่านรถไฟผิงเสียง หลงปัง สุยโข่ว (ในเขตฯ กว่างซี) และโม่ฮาน ด่านรถไฟโม่ฮาน เหอโข่ว ด่านรถไฟเหอโข่ว เทียนเป่า (ในมณฑลยูนนาน)) โดยปี 2567 ไทยส่งออกผลไม้สดไปจีนมูลค่ากว่า 180,000 ล้านบาท
ล่าสุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ฝ่ายไทยกับจีนได้บรรลุข้อตกลงปรับปรุง “พิธีสารฯ” ฉบับลงนาม เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยบรรลุข้อตกลง เพิ่มด่านไทย 3 ด่าน ได้แก่ ด่านทุ่งช้าง (จังหวัดน่าน) ด่านบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา) และด่านภูดู่ (จังหวัดอุตรดิตถ์) และเพิ่มด่านจีน 2 ด่าน ได้แก่ ด่านเหมิ่งคัง (ผ่าน สปป.ลาว) และด่านต่าลั่ว (ผ่านเมียนมา) ในมณฑลยูนนาน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
ส่งผลให้มณฑลยูนนานเป็นมณฑลที่มีด่านที่ได้รับอนุญาตให้สามารถนำเข้าผลไม้จากไทยทั้งการขนส่งโดยตรงและการขนส่งผ่านประเทศที่สาม มากที่สุดในจีน รวม 9 ด่าน จากจำนวนด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้ทั้งหมด 11 ด่านทั่วมณฑลยูนนาน ครอบคลุมทั้งทางอากาศ ทางถนน ทางราง และทางน้ำ (แม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง) ประกอบด้วย
– ด่านทางอากาศ (ขนส่งโดยตรง) ได้แก่ ด่านท่าอากาศยานนานาชาติฉางสุ่ยนครคุนหมิง
– ด่านทางบกบริเวณชายแดนจีน-เวียดนาม (ขนส่งผ่านประเทศที่สาม) ได้แก่ ด่านเหอโข่ว ด่านเทียนเป่า และด่านรถไฟเหอโข่ว ทั้งนี้ด่านรถไฟเหอโข่วยังไม่สามารถนำเข้าผลไม้ไทยได้ แม้ว่าจะถูกระบุในพิธีสารฯ เนื่องจากด่านรถไฟเหอโข่วยังไม่ได้เป็นด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้
– ด่านทางบกบริเวณชายแดนจีน-เมียนมา (ขนส่งผ่านประเทศที่สาม) ได้แก่ ด่านต่าลั่ว
– ด่านทางบกบริเวณชายแดนจีน-สปป.ลาว (ขนส่งผ่านประเทศที่สาม) ได้แก่ ด่านโม่ฮาน ด่านรถไฟโม่ฮาน และด่านเหมิ่งคัง
– ด่านทางน้ำ (ขนส่งโดยตรง) ได้แก่ ด่านท่าเรือกวนเหล่ย (เชื่อมกับด่านท่าเรือเชียงแสนผ่านแม่น้ำโขง)
การเพิ่มจำนวนด่านสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทย-จีน เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้า-ส่งออกผลไม้ระหว่างไทย-จีน โดยสามารถเลือกนำเข้า-ส่งออกในจุดที่ใกล้แหล่งผลิตหรือใกล้ผู้บริโภค เพิ่มความรวดเร็วในการขนส่ง ช่วยรักษาคุณภาพของผลไม้ที่เป็นสินค้าเน่าเสียง่าย นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยส่งผลให้กระบวนการนำเข้าของด่านใดประสบปัญหาติดขัด ก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปยังด่านที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงได้
ข่าวนี้รวบรวมโดย :SHUNNING HUANG